วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

ชอบเที่ยว ...เอาความสุขใส่กระเป๋ามาฝากด้วย



ข้อคิดสะกิดใจ. ...ชอบเที่ยว ...เอาความสุขใส่กระเป๋ามาฝากด้วย
************
คนชอบไปท่องเที่ยวบ่อยๆ ไปชื่นชมสถานที่ สารพัดที่ขอให้ได้เห็น รู้ ดู ชม ตามที่ไป
จะเพลิดเพลิน เคลิบเคลิ้ม บ้างก็ร่าเริงบันเทิงใจ 
ลืมสิ่งจริงในปกติไปได้ชั่วกาลหนึ่ง ๆ เท่านั้น
ถ้าภาษาพระเขาเรียกว่า สมถะ  ทำนองเอาหินทับหญ้า ลืมไปก่อน ชั่วคราวเพราะจิตไปจดจ่ออยู่กับสิ่งใหม่ ๆ

สัตบุรุษที่เราเคารพนับถือเคยสอยในทำนองนี้ว่า...

"ไหนล่ะความสุขน่ะ?  เก็บใส่กล่องมาฝากให้ดูหน่อยซิ"
"แล้วตอนนี้น่ะความสุขที่ว่า ที่ไปเที่ยวมาน่ะ เหลืออยู่สักเท่าไรล่ะ ?
???
  สรุปว่า "ความสุข" ไม่ได้มีตัวตน"  ไม่สามารถเก็บรักษาเอาไว้ได้เลย
   เป็นแค่  "ความรู้สึก".  พอใจ ชื่นใจ ชอบใจ แล้วก็กลายเป็น "ความจำ" เรียกว่า "สัญญา". หนึ่งในขันธ์ห้า 
ที่เป็นเหตุแห่งทุกข์นั่นเอง 
   "ความรู้สึกสุข" ที่ว่านั้น ก็เกิดขึ้น. อยู่ชั่วคราว แล้วก็ดับไป. เสมอๆ

    เหลือไว้แต่ "ความทรงจำ" แล้วก็เสพ อาการจำ ไว้ใน. "อุปทาน" รอวันที่ผลักออกมาเป็น "ตัญหา" 
ออยากๆๆๆ  แล้วก็ทำได้ "สมใจ". ตรงกับ ทรงจำเก่าๆ ก็. สุขๆๆๆ. แต่ถ้าไม่สมใจ ก็ทุกข์ ๆๆๆๆ
   ืนี่แหละคือ "วัฏฏะ". ของการเกิด "ภพ ชาติ" ในจิต ของ เรา
   ก็จะวนๆๆๆ ไม่รู้จบสิ้น นรก. สวรรค์ ก็สลับๆ หาที่สุดมิไ้ด้

   ผู้มีปัญญา เชื่อตามคำสอนพระพุทธเจ้า. ต้องลดการ "เสพ" ทั้งปวง จนให้ความรู้สึกใดๆเกิดแล้ว อยู่ที่ ใจเฉยๆ
หรือ อุเบกขา ในที่สุด
    ไม่หลง " ยึดความทรงจำเก่าๆมาเสพต่อๆ" 
ขอเพียง "รู้ทัน". ทรงจำนั้น ๆ ทุกขณะจิต. ก็จะลด "ตัณหา" ได้
ภายในจิตใจ ก็จะสงบ ร่มเย็น มีความสุขทั้ง ๆที่อยู่ในท่ามกลางความวุ่นวายของโลกๆ
*****meesatidee 



เวลาหายไปไหนหมด



เวลาไปไหนหมด

เวลา หายไปไหน ใคร่คิดรู้
หนึ่งนั่งดูเฟสบุ๊ค ยุคใหม่หนา
ไลน์แชตรูปเสียงรื่นชื่นอุรา
ยูทูปเปิดมา น่าดูชม
ก่อนนอนละครทีวีมีอีกหลาย
จนตาลาย ดูย้อนหลังคลั่งสังสม
เกมส์ใหม่มันสารพัดหลากนิยม
หมอบหัวจมเหนื่อยล้าเพราะบ้าเอง***
****meesatidee. 29/4/56

"อยากให้ดีเกิน...เกินกำลัง



ข้อคิดสะกิดใจ ;// ให้ดีเกิน

รู้นะว่า น้ำตาล มันหวานนัก
ด้วยเพราะรัก ให้น้ำตาล แก่ฉันหลาย
จะอวกเอียนแม้จะหวานแต่กลับกลาย
ฉันมองร้ายที่เธอดีมีเกินไป
  ***   meesatidee

ขอคิดก่อน...



ข้อคิดวันนี้ :;//. ขอคิดก่อน
****meesatidee
"ขอคิดก่อน" วลีนี้มีให้คิด
ก่อนลิขิตพูดเขียนเพียรคิดหลาย
จะพลาดพลั้งเสียท่าน่าอับอาย
ทั้งเสียกายเสียหมดตัวคลุกชั่วตรม
   รับปากกับใครใดใดกิจ
พึงพินิจให้มากมีเหมาะสม
บอกไม่ได้ทันทีมีคารม
ไม่ตรอมตรม "ขอคิดก่อน" วอนจดจำ
*****

ประกอบภาพคน"เหม่อลอย"


เหม่อลอย ลอยใจไปไหนน้อง
ใจเกี่ยวคล้องใดใดที่ไหนหนอ
รู้สิ่งคิดให้จิตรู้ไม่รีรอ
ใจเพียงพอ กลับเข้ามาพาสุขนาน
***(ตามภาพ). 
20/5/56

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

เถียง กับ อธิบาย คล้ายกันนะ แต่ต่างกัน



ขอให้พิจารณา"นิยาม" เถียง กับอธิบาย ใกล้กันมาก แต่ต่างกันตรง "อรมณ์"ที่แสดงออกมา
ทั้งสองคำ หมายถึงการอธิบาย สิ่งที่ขัดแย้งหรือไม่ตรงกัน.  
แต่ "เถียง". จะแสดงออกด้วยอารมณ์โทสะด้วยน้ำเสียง อาการกิริยา ใบหน้า ดวงตา บางครั้งก้าวร้าว ไม่สุภาพ ไม่อ่อนน้อมถ่อมตน กับคนที่เราอธิบายนั้น  

ส่วน "อธิบาย" หมายถึง การชี้แจง แสดงเหตุผลในเรื่องที่เห็นต่างกัน และต้องเป็นการชี้แจงหรืออธิบายในอารมณ์ที่ปกติกลางๆ ไม่เจือด้วยโทสะ ไม่ก้าวร้าว หรืออาการเหมือนข่มดูถูก อะไรสารพัดที่บอกว่า ไม่สุภาพ ไมอ่อนน้อม ไม่ให้เกียรติกัน. และไม่ควรอธิบายในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังอาละวาดหรือมีโทสะอยู่

     สรุป แล้วทั้งสองคำนี้  คือเป้าหมายเดียวกัน คือ การชี้แจงอธิบายเรื่องที่ขัดแย้งหรือเข้าใจไม่ตรงกัน. ต่างกันที่ "การนำเสนอ" ด้วยภาษา ที่แสดงออกว่าหยาบหรือสุภาพ แสดงด้วยท่าทาง ด้วยน้ำเสียง ด้วยอรมณ์ และ เลือกเวลาในการอธิบาย จะต้องเลือกให้เหมาะสม ไม่ใช่เวลาที่ฝ่ายตรงข้ามกำลังอาละวาด. ถ้าเราชี้แจงตอนนั้น เป็นการเถียงมากว่า เพราะต่างก็"โมโห"
    ถ้าใครอ่านจิตใจตนเองเป็นเสมอๆ  และไม่ยึดติดกับสมมติมาก เราจะแยกได้ดีว่า เราควรจะอธิบาย ได้ดีกว่า การเถียง เพราะไม่ชนะใดๆ ถ้า การแสดงออกมักใช้อารมณ์โทสะเจือปนอยู่ นอกจากความ"สะใจ" ของคนเถียง แค่นั้น
       วิบากกรรม ก็จะตามมาสะสมในก้อนจิต ให้ทุกข์อีกยาวนาน

meesatidee....24/3/56

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

บุญ กับ. กุศล. เข้าใจตรงกันไหม


เราได้ฟังครูอาจารย์ที่เรานับถือให้ปัญญากับเราว่า...
มักเข้าใจคำว่า "ทำบุญ" และ "ได้บุญ" ไม่ถูกต้อง  ทำให้คนส่วนมากไม่พ้นทุกข์ จึงเห็นคนทั่วไปที่ว่าไปทำบุญกันสารพัดแต่ผลก็คือยังทุกข์กันสารพัดเช่นเดิมๆ 

      "บุญ" หมายถึง การออกจาก(ออกจากกิเลส ,โลภ โกรธ หลง ตัญหาอุปทานฯลฯ)  ดังนั้น "การทำบุญ"  ต้องตั้งจิต และการกระทำทั้งกาย วาจา และใจ(ตั้งตะบะ)ที่ละ เว้น หยุด เลิก สิ่งที่เสพติดทั้งหลายตั้งแต่อบายมุขหยาบๆ จนถึงอัตตา และโลกธรรม ซึ่งละเอียดๆ ให้ลดละเลิก จนจางคลายออกจากจิตใจ ปรากฎให้เห็นได้ทั้งกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม (กินสูบดื่มเสพ กินอยู่หลับนอน คิดพูดทำ ฯลฯ )  ถ้ากรรมใด ไม่มีผลให้จิตใจเรามุ่งสู่ การลดละเลิกกิเลสดังกล่าวนั้น   การกระทำนั้น ไม่ใช่การ"ทำบุญ" และไม่ "ได้บุญ" แต่อย่างใด เพราะ ไม่พ้นทุกข์ อย่างแท้ถาวร นำไปสู่มรรคผลนิพพาน ในที่สุด (แต่อาจแค่ได้กุศล เท่านั้น)
      
      สำหรับ "กุศล"   หมายถึง การกระทำที่ได้ทำความดีกับตนและผู้อื่น ความดีนี้เป็นความดีในทางโลกๆทั่วไป เช่นการให้ เสียสละ การช่วยเหลือเกื้อกูลกัน การสร้างประโยชน์กับส่วนรวม ที่เราเห็นทั่วๆไป ฯลฯ
     
        กุศล  จะเป็น บุญ ด้วยหรือไม่ก็ได้ ถ้า ผู้ทำ"กุศล"นั้น อ่านจิตใจ และตั้งจิตเพื่อลดละสิ่งที่ตัวเองเสพติดอยู่ ช่น การสละ การให้ เพื่อตนจะลดความโลภ เพื่อการไม่เอาเข้าตัว เพื่อจะลดละล้างการติด การยึด ทำนองนี้ ผู้นั้นจะ"ได้บุญ" เพราะ ได้ล้างจิตโลภ จากการได้ทำ"กุศล" นี้
      ในทางตรงข้าม ถ้าทำกุศล เช่น การบริจาค แล้วจิตคิดว่า ขอให้ตนเองรวย ๆ เพิ่มขึ้น หรือยังอยากได้นั่นได้นี่ หรือขอนั่นขอนี่ เท่ากับทำกุศล แต่"ความโลภ" เพิ่มในจิต ไม่ได้บุญแล้วกลับได้"บาป" เพราะ เป็นการกระทำที่เพิ่มกิเลสให้ก้อนใหญ่ขึ้นสะสมในจิตของตน สวนทางกับ ทางหลุดพ้นของพระพุทธเจ้า
   
    อย่างไรก็ตาม การทำกุศล มีส่วนทำให้จิตใจเบิกบาน มีสมถะ ได้สมาธิ มีความสงบ  เกิดปิติ และมีความสุข ได้เมื่อนึกถึง ก็มีผลให้มีความสุข ได้ เป็นความสุขทางโลกๆ  ไม่ใช่ความสุขนิรันดร์ที่นำไปสู่ทางพ้นทุกข์แท้   
     คนทำกุศลที่ทำจิตไม่ถูก เขาเรียกว่า ทำความดีที่ไม่พ้นทุกข์
  
   ทำกุศล หรือทำดีนั้น ดีอยู่แล้ว ถ้าทำบุญไปด้วยขณะทำกุศล (ละกิเลส) จะถือว่า "มีปัญา" นี้คือการปฏิบัติธรรมแท้ๆ ได้ทางไปสู่มรรคผล ในที่สุด
             ##  meesatidee....6/03/56##